วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2551

วิฤกติทางการเงิน ใน ปี 2552

ปี 2552 ดวงเมืองของประเทศไทย จะเกิดวิฤกติทางด้านการเงิน ประชากรมีแนวโน้มมีการตกงาน ราว 2,000,000 กว่าคน ธุรกิจจะเกิดภาวะล้มละลาย ภาคเกษตรผลผลิตตกต่ำ ภาวะผันผวนทางการเงินสูง บุคคลใดที่มีดวงเกาะเกี่ยวกับดวงเมือง จะทำให้บุคคลนั้นตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ตกงานอย่างคาดไม่ถึง นักศึกษาที่เพิ่งจบจะหางานทำยาก คนที่ทำงานอยู่อาจถูกปลดออกจากงานโดยไม่รู้ตัว หรือโดนลดขั้น ลดเงินเดือน กลุ่มคนทำอาชีพค้ขายหากำไรได้ยาก ตกอยู่ในสภาพทุนหายกำไรหด มีโอกาสเลิกกิจการ เลิกค้าขายไปเลย อาจารย์ขอเตือนว่า ไม่ควรประมาทในการใช้จ่ายเงิน ควรใช้จ่ายอย่างพอเพียง พยายามอย่าเป็นหนี้ระยะยาว ระวังการใช้บัตรเครดิต ใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง เพราะเริ่มเข้าช่วงเทศกาลต่างๆ ในช่วงนี้ผู้ที่มีงานทำอยู่แล้ว ไม่ควรคิดเปลี่ยนงานใหม่ ควรอดทนไปสักระยะหนึ่งก่อน บุคคลใดที่มีดวงเกาะเกี่ยวกับดวงเมือง คุณกำลังจะมีเคราะห์ อาจารย์แนะนำให้คุณทำบุญเสริมบารมีของตัวคุณ โดยการทำบุญบริจาคโลงศพ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เด็กด้อยโอกาส โรงพยาบาลสงฆ์ สถานสงเคระห์คนชรา การทำบุญให้ทำบ่อยๆ แต่ไม่ต้องทำทีเดียวจำนวนเงินมากๆ ทำน้อยแต่ทำบ่อยๆ ตามกำลังทรัพย์ จะช่วยเสริมดวงของคุณได้บ้างไม่มากก็น้อย ตามแต่ดวงชะตาของแต่ละบุคคล หรือจะทำการหนุนดวงบูชาดวงตามพิธีโปราณ ซึ่งมีความเชื่อถือกันมานานแล้วว่า ผู้ใดที่ดวงไม่ดี หรือดวงตก ได้ทำการบูชาดวงหรือหนุนดวงของตนเองแล้ว ผู้นั้นจะผ่านพ้นอุปสรรคนานานับประการ จะทำให้ผู้นั้นเจริญรุ่งเรือง อยากทราบรายละเอียดมากกว่านี้ โทร คุยกับ อาจารย์ ชาญเวทย์ ได้ โทร. 086-567-5101

วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ประวัติอาจารย์ ชาญเวทย์ แสนทวี ตอนที่ 3-5


( ตอนที่ 3 ) เธอบอกว่าเธอจะพาผมกลับบ้าน แต่ก่อนที่จะกลับไป ณ. โลกปัจจุบัน เธอจะพาไปดูเหตุการณ์หนึ่ง ที่จะเกิดกับผมหลังเวลาเที่ยงวันไปแล้ว ว่าทุกอย่างจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ถ้าบุญเก่า กรรมใหม่ ของผมสร้างมาดีพอ ผมจะผ่านความตายครั้งนี้ได้ เธอได้ให้ผมขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้ช่วยคุ้มครองป้องกันเหตุการณ์ร้ายต่างๆ โดยเฉพาะบารมีของ บิดา มารดา ตั้งแต่อดีตชาติถึงปัจจุบัน ให้คุ้มครองป้องกันภัยอัตรายต่างๆนานา ที่จะเกิดขึ้นกับผมในวันนี้ให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
เมื่อให้ผมขอพรกับสิ่งศกดิ์สิทธิ์แล้ว เธอก็พาผมไปสถานที่แห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนั้น คือ บ้านผมเอง ณ. ขณะนั้นมีญาตพี่น้องมากันเต็มบ้าน เขามาสวดศพกัน ศาสนาคริตส์ เวลามีคนตาย ญาติพี่น้องหรือเพื่อนบ้าน จะมาช่วยกันสวดศพ ไม่เหมือนศาสนาพุทธจะให้พระสงฆ์สวดแทน เวลานั้นผมหิวน้ำมาก จึงตรงเพื่อจะขอน้ำดื่ม คนที่ทำหน้าที่ยกน้ำมาเสริฟให้แขก คือ เพื่อนของผมเอง ผมตรงไปหาเขาเอื้อมมือจะไปหยิบแก้วเพื่อที่จะดื่มน้ำ เขากลับเดินทะลุผ่านผมไป ไม่สามารถที่หยิบจับ พูดคุยกับคนในงานศพนั้นเลย ไม่มีใครเห็นและได้ยินเสียงผมเลย ผมสงสัยว่าพวกเขามางานศพใครกัน ผมเดินเข้าไปในบ้าน เห็นมีเตียงผ้าใบมีผู้ชายนอนห่มผ้าอยู่ ผมก้มหน้าลงไปดูว่าเป็นใคร เป็นตัวผมเอง ผมรู้สึกงงไปหมด นี่เราตายแล้วหรือ ด้วยความที่อยากดูให้แน่ใจ จึงก้มหน้าไปดูใกล้ๆ ผมรู้สึกว่าเหมือนโดนผลักหัวทิ่มลงไปร่างของผมที่นอนอยู่บนเตียงผ้าใบ ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็นอนอยู่ในห้องนอนของตัวเอง ลุกขึ้นมานั่งคิดพิจารณาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สับสนไปหมด ไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นเจอมาเป็นความฝันหรือความจริง จึงเดินออกมานอกห้องนอนด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนเพลียมาก พิจารณาลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นใจยังไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นความจริง เวลาในตอนนั้นเป็น 6.00 น คุณแม่ตื่นนอนแต่เช้า เห็นผมนั่งอยู่หน้าตาไม่สู้ดีนัก ท่านจึงเดินมาถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าตาไม่ดีเลย ผมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ให้คุณแม่ฟังแล้วบอกกับท่านว่า คนเราเกิดมาแล้วต้องตายเป็นเรื่องธรรมดา แต่ผมห่วงคุณแม่มากเพราะกลัวว่าไม่มีใครดูแลคุณแม่ เพราะพี่ๆทุกคนได้มีครอบครัวกันไปหมดแล้ว มีผมอยู่คนเดียวที่ดูแลท่าน คุณแม่ได้ฟังเรื่องที่ผมเล่า ดูท่านไม่สบายใจนักแต่ก็ยังพูดกับผมว่าไม่เป็นไร อาจจะไม่สบายทำให้เพ้อเห็นอะไรไปเอง ผมบอกกับท่านว่าไม่จริง ผมไม่ได้เป็นอะไร สิ่งที่ผมเห็นเป็นเรื่องจริง แม่พาผมไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอถามว่าคุณเป็นอะไรมาครับ ผมบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรผมมาหาคุณหมอ เพื่อมาขอยาไปรับประทานแก้เครียด คุณหมอได้ฟังก็จัดยามาให้ตามที่ผมต้องการ ผมกลับมาถึงบ้านทานยา เอาเตียงผ้าใบมากลางนอนอยู่หน้าห้องรับแขก คิดถึงเหตุการที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ น้าสาวมาชวนไปอยู่ด้วย แล้วมีคนมาเอาตัวไป มีคนมาช่วยแล้วหนีเขากลับมา จนกระทั่งเห็นตัวเองนอนตายกลายเป็นศพอยู่บนเตียงผ้าใบ พอนึกมาถึงช่วงนี้ ผมใจหายขึ้นมาทันที เพราะว่าในขนะนี้ตัวผมกำลังนอนอยู่บนเตียงผ้าใบและที่แย่ไปกว่านั้น ชุดที่ผมใส่อยู่และผ้าที่ผมห่มอยู่นี้เป็นอย่างที่ผมเห็นเมื่อเช้าทุกอย่างผิดกันแต่ว่า เมื่อเช้าผมเห็นตัวเองนอนหันหน้าออกนอกบ้าน
( ตอนที่ 4 ) แต่ในขณะนี้ผมนอนหันหน้าเข้าในบ้าน พอผมนึกมาถึงตรงนี้ผมพยายามที่จะลุกขึ้นจากเตียงที่กำลังนอนอยู่ แต่ผมไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงที่กำลังนอนอยู่ได้ เพราะกำลังมีดวงวิญญาณดวงหนึ่งค่อยๆ คลานขึ้นมาบนร่างของผม จากปลายเท้าขึ้นมาจนถึงหน้าอกของผม ตัวของมันหนักมากผมไม่สามารถกระดิกตัวได้เลย ในขณะเดียวกันมีกลิ่นเน่าอย่างรุนแรงมากระทบจมูกผม ผมพยายามดิ้นและส่งเสียงร้องให้คนช่วยแต่ไม่มีใครได้ยินเลย ขณะที่ผมพยายามร้องขอความข่วยเหลืออยู่นั้น เป็นเวลาใกล้เที่ยง คุณแม่เข้ามาเรียกให้ลุกขึ้นมาทานข้าวจะได้ทานยา แต่ไม่ว่าท่านจะเรียกอย่างไรผมก็ไม่ขานรับท่านเลย ท่านตกใจมากรีบไปเรียกญาติพี่น้องให้มาช่วยผม เวลาไม่นานนักญาติพี่น้องพากันมาเต็มบ้าน ช่วยกันสวดมนต์ตามแบบฉบับศาสนาคริตส์ แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย วิญญาณที่นั่งทับอยู่บนหน้าอกผมได้ยื่นมือมาบีบคอผมอย่างแรงผมหายใจไม่ออก ในขณะนั้นไม่มีใครรู้ถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับผมเลย ผมพยามดิ้นรนเพื่อเอาชีวตรอด แต่ก็ไร้ผล สติของผมที่เหลือน้อยเต็มที เนื่องจากขาดอากาศหายใจ ทันใดนั้นได้ปรากฏใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งรอยขึ้นมา แล้วบอกว่าภาวนา พุทโธ ซิลูกแล้วใบหน้านั้นก็หายไป ผมภาวนา พุทโธ แล้วเป่าไปที่วิญญาณที่กำลังจะเอาชีวิตของผมไป ทันทีที่ผมเป่าออกไปวิญญาณนั้นได้อันตธานหายไปต่อหน้าต่อตาของผม ในขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นที่หน้าบ้าน ซึ่งอยู่ตรงหัวนอนของผมพอดีเสียงดังและกังวาลมาก พูดว่าเมื่อเช้ามึงหนีมาทำไม ถ้ากูมาเองมึงไม่ได้หนีมาแบบนี้แน่ๆ ไปกับกูเดี๋ยวนี้ ผมไม่สามารถลุกขึ้นหรือกระดิกตัวได้เลย แต่ความรู้สึกทุกอย่างยังสมบูรณ์ ได้ยินเสียงต่างๆ ชัดเจนจึงตอบกลับไป แต่การตอบของผมนั้นเป็นความคิดไม่ได้ออกมาเป็นคำพูดเรียกว่า การติดต่อกันทางจิต ผมบอกไปว่าไม่ไปหรอก เพราะต้องอยู่ดูแลแม่ไม่มีใครคอยดูแลแม่ เขาบอกมึงต้องไปเดี๋ยวนี้พูดแล้วเขาก็ท่องมนต์เป็นภาษาเทพ ( ภาษาเทพคล้ายภาษาอินเดียแต่มีความละเอียดอ่อนกว่ามาก ) เมื่อท่านพยายมได้ท่องมนต์ ทันใดนั้นกลางตัวผมเหนือสะดือ 2 นิ้ว เกิดมีความรู้สึกเหมือนเกิดไฟลุกขึ้นมามีขนาดเท่าหัวไม้ขีดไฟแล้วค่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ในขณะนั้น ผมมีความรู้สึกเหมือนโดนเผาทั้งเป็นมันทรมารอย่างบอกไม่ถูก ในขณะเดียวกันร่างกายเหมือนกับมี กายซ้อนกายอยู่ภายใน เรียกว่า กายทิพย์ ซึ่งซ้อนกายหยาบอีกทีหนึ่ง กายทิพย์พยายามที่จะออกจากร่างเพื่อจะได้ไม่ร้อน แต่ในความรู้สึกหนึ่งกลับบอกว่าให้ทนให้ได้ เพราะว่าถ้าออกจากร่างเมื่อไร เขาก็จะเอาวิญญาณของเราไปแน่ๆ แต่ไม่ว่าจะอดทนเพียงใดความร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้น จนไม่สามารถทนอยู่ต่อไปได้อีก
( ตอนที่ 5 ) คิดที่จะยอมแพ้แล้วไปกับเขา กายทิพย์ได้ยกมือที่ซ้อนอยู่กับกายหยาบแล้วเอื้อมมือไปหาท่านยมทูต ท่านก็เอื้อมมื่อมาเพื่อที่จะได้รับวิญญาณของผมไป มือของเราจะได้สัมผัสกันอยู่แล้ว ในทันใดนั้นหูของผมได้ยินเสียงหนึ่งดังแว่วมา แต่ความรู้สึกว่าเสียงนั้นอยู่ไกลมากแต่เป็นเสียงที่ผมจำได้ดี เพราะว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของคุณแม่ของผมเอง ทันทีที่ได้ยินเสียง ผมได้ดึงมือกลับทันที ส่วนท่านยมทูตก็ได้ดึงมือของท่านกลับเช่นกันและหันไปบอกกับอีก 2 คน ที่มาด้วยว่ากลับกันก่อน ขณะนี้ยังเอามันไปไม่ได้เพราะ ว่าบารมีเก่าของมันยังหนุนอยู่ ยังไม่มีใครเอามันไปได้แล้วท่านก็หายไป ส่วนตัวผม เมื่อท่านยมฑูตหายไปแล้ว สติของผมก็ดับวูบลงไปด้วย มารู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่งก็อยู่ที่โรงพยาบาล เซ็นต์หลุยส์ นอนรักษาตัวอยู่ 2 วัน กลับบ้านได้เป็นปกติ ผมกลับมาเรียนหนังสือเหมือนเดิม ได้เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้เพื่อนฟัง มีเพื่อนคนหนึ่งได้นำเรื่องของผมไปเล่าให้คุณแม่ฟัง คุณแม่ของเพื่อนได้ฟังเรื่องราวต่างๆ แล้ว ท่านบอกเพื่อนผมว่า ท่านอยากพบผม อยากจะคุยด้วย ผมไปหาท่านกับเพื่อน และเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ท่านฟัง คุณแม่ของเพื่อนท่านบอกผมว่า ที่ผมรอดมาได้นั้น ด้วยจิตใจที่ความกตัญญู รู้คุณ บิดา มารดา จึงรอดมาได้ คุณแม่ของเพื่อนท่านอยากให้ผมไปพบกับพระอาจารย์ของท่าน พระอาจารย์ของท่านนั้น คือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านได้พาผมไปฝากตัวเป็นศิษย์ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงพ่อท่านได้สอนให้ปฏิบัติกรรมฐาน วิปัสนาฌาณ ฝึกได้ ฌาณ 1-2-3-4 ตามลำดับ ฝึกอภิญญา 10 กอง ผมฝึกกสิณไฟไดเป็นกองแรก ในการฝึกปฏิบัติ ได้พบเจอเหตุการณ์เหนือธรรมชาติมากมาย เจอคนโดนคุณ โดนของ ได้ใช้วิชาที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยสอนไว้ ช่วยสงเคราะห์ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากให้ผ่านพ้นช่วงที่เลวร้ายไปได้ พบกับเจ้าที่เจ้าทางมากมาย บางท่านต้องการอะไรก็บอกผ่านผม ให้บอกเจ้าของบ้านให้จัดหามาให้ ท่านอยากให้ตั้งศาลบอกผ่านผม ผมก็ไปบอกเจ้าของบ้านอีกต่อ แต่เมื่อเจ้าของบ้านหาคนทำพิธีตั้งศาลมา ก็ทำพิธีถูกๆ ผิดๆ บางครั้งทำให้เจ้าที่ไม่พอใจ แท้ที่จะเป็นคุณกลับเป็นโทษต้องมาทำพิธีขอขมาเจ้าที่กันอีก บางสถานที่เจ้าที่ต้องการให้ผมทำพิธีตั้งศาลให้ ผมบอกว่าทำพิธีตั้งศาลไม่เป็นท่านก็บอกไม่ยาก ระหว่างที่ทำพิธีตั้งศาลนั้น ท่านสื่อกับผมทางจิตอยู่ตลอดว่า ต้องทำอะไร อย่างไร ก็ทำพิธีตามที่ท่านบอก พอบ่อยครั้งเข้าสักกระดากใจ ไปทำพิธีตั้งศาลแต่ทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง มันรู้สึกไม่ดี
(เรื่องราวที่เล่ามาข้างต้นนี้ เป็นเพียงบางเรื่องราวที่ได้นำมาเล่าสู่ให้บางส่วนเท่านั้น)
ผมจึงไปเรียนพิธีกรรม การตั้งศาล กับ ครู ว. จีนประดิษฐ์ ครูบาอาจารย์ในการทำพิธีกรรม การตั้งศาล อันดับ 1 ของประเทศไทย ครูท่านมีความเมตตา เอ็นดู แก่ผม สอนผมทุกอย่างจนผมมีความชำนาญในการทำพิธีกรรม การตั้งศาล เป็นอย่างดี ได้ประกอบเป็นสัมมาอาชีพเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึง การพยากรณ์ การตรวจดวงชะตาชีวิต ว่าดีร้ายประการใด คุณก็เป็นอีกคนใช่มั้ย ที่การงานมีปัญหา การเงินติดขัด ความรักมัวหมอง คู่ครองเปลี่ยนใจ ทำอย่างไรให้ดีขึ้น งานประเภทใดที่ถูกโฉลก หรือเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ หาทางออกและคำตอบไม่ได้ โทรปรึกษาอาจารย์ ทุกคำถามและข้อสงสัยของคุณ มีคำตอบอย่างชัดเจน อาจารย์ยังผูกดวงและตรวจดวงชะตาด้วยศาสตร์มากมายหลายศาสตร์ การตรวจดวงชะตาด้วย ศาสตร์คัมภีร์ของอียิปต์โบราณ เป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่ มากกว่า 5,000 ปี ให้ความแม่นยำสูง ถ้าคุณต้องการทราบว่า คบกับคนนี้แล้วดีไหม เขาเป็นคนเช่นไร คิดกับคุณอย่างไร ผู้ชายหรือผู้หญิงที่คุณคบหาอยู่ เขามีคนอื่นหรือปันใจให้กับคนอื่นอยู่หรือไม่ รวมถึงการอยู่กับคนรักจะทำให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรืองหรือไม่ ศาสตร์คัมภีร์อียิปต์โบราณ โหราศาสตร์ไทย 7 ตัว 9 ฐาน สามารถบอกหรือตอบปัญหาของคุณได้หมด รวมถึง การงาน การเงิน ความรัก อุปสรรคต่างๆ ในชีวิต ทุกคำถามมีคำตอบให้คุณอย่างแม่นยำ ชัดเจน ถูกต้อง และอาจารย์ยังรับ ผูกดวง ออกฤกษ์แต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ ออกรถ เปิดกิจการร้านค้า ฤกษ์ดี กิจการดี ชีวิตสดใส
นัดเวลา โทรคุยปรึกษา อ. ชาญเวทย์ ได้นะครับ ( โทร. 086-567-5101 )

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ประวัติ อาจารย์ ชาญเวทย์ ตอนที่ 2

ตอนที่2 ถึงเวลานั้นน้าช่วยเหลืออะไรผมไม่ได้แล้ว ผมบอกว่าอย่างไงผมก็ไม่ไปกับน้า พูดจบร่างของน้าก็หายไป ในขณะที่ร่างของน้าหายไป มีกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นมาอีก 3 กลุ่ม รวมตัวกันเป็น ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ไม่พูดอะไรกับผมทั้งนั้น พุ่งตรงเข้ามาเอาโซ่มาคล้องคอ ผูกมือ ผูกขาของผมทันที โดยที่ผมไม่สามารถขัดขืนอะไรได้เลย หลังจากนั้นก็กระชากลากผมไปอย่างแรง ผมรู้สึกเหมือนสติดับวูบลง ไปรู้สึกตัวอีกครั้ง ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่ากำลังยืนอยู่บนถนน ที่มีขนาดใหญ่ มีต้นไม้ขนาดใหญ่อยู่สองข้างของถนนนั้น แต่ต้นไม้ทุกต้นไม่มีใบเลย เหมือนกับต้นไม้ที่ตายแล้ว บรรยากาศเวลานั้นเหมือนกับช่วงเวลาที่พระอาทิตย์จะตกดิน จะมืดก็ไม่มืด จะสว่างก็ไม่เชิง ผู้ชาย 3 คน เดินจับโซ่ที่คล้องคอผม ลากไปอย่างไม่ปรานีปราศรัย ผมมองไปข้างหน้าว่าถนนที่พวกเขากำลังพาผมเดินไปสุดที่ไหน ก็ยังมองไม่เห็นเลยว่า ถนนสายนั้นจะมีที่สุดของปลายถนนอยู่ที่ไหน เพราะมองเห็นแต่ถนนที่สุดลูกหูลูกตา เมือ่เดินไปได้สักระยะหนึ่ง 1 ใน 3 บอกให้ผมนั่งลง เดินห่างจากผมไป ประมาณ 10 ก้าว ไปตกลงอะไรกันบางอย่าง ขณะนั้นก็มีเงาดำ เงาหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากตรงที่ผมนั่งอยู่ ดึงโซ่ที่พันธนาการผมอยู่นั้นขาด แล้วหันไปต่อสู้กับร่างทั้งสามคนอย่างดุเดือด ผมยืนดูด้วยความมึนงงอยู่ตรงนั้น เงาดำที่ปรากฏกายมาช่วยผมก็พุ่งตรงมาทางผม พร้อมกับจับข้อมือแล้วบอกว่า หนี ผมมีความรู้สึกว่ามีแรงกระชากผมอย่างแรง ทำให้ร่างของผมพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ความเร็วที่วิ่งผ่านต้นไม้ มีเสียงเหมือนเราขับรถวิ่งด้วยความเร็วสูงผ่านต้นไม้ เวลาผ่านไปชั่วอึดใจ ร่างนั้นได้พาผมไปในที่ ที่หนึ่งซึ่งมีต้นไม้ ดอกไม้ เขียวชอุ่มสวยสดงดงามมาก ผมหันไปทางเงาดำนั้นที่มาช่วย ผมทั้งดีใจและแปลกใจมาก เงาดำนั้นคือ เธอ ที่เคยมาหาเมื่อผมตอนอายุ 5 ขวบ ผมยังจำได้ไม่ลืม แต่สิ่งที่แปลกใจในขณะนั้น คือ รูปร่างหน้าตายังไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย เธอยังเหมือนเด็กสาวรุ่นวัย 15-16 ปี อย่างที่ผมเคยเห็นเธอ เมื่อครั้งที่อายุแค่ 5 ขวบ แต่ในปัจจุบัน ผมอายุ 20 ปี เวลาผ่านไป 15 ปี เต็มๆ แต่เธอก็ยังคงเป็นเด็กสาวสดใส อายุ 15-16 ปี เหมือนเดิม
ในระหว่างที่ผมนั่งคิดแปลกใจอยู่นั้น เธอก็ต่อว่าผม ว่าทำไมไม่บวชตามที่เธอบอกไว้ ผมบอกว่า ครอบครัวผมนับถือ ศาสนาคริตส์ แม่ไม่อนุญาติให้บวชแน่ๆ เธอบอกว่ามันเป็นกรรมของผมเอง เธอยังบอกอีกว่า จริงๆ แล้วอายุผมยังไม่ถึงฆาต แต่ด้วยกรรมมาตัดรอน พวกเขาถึงจะมาเอาชีวิตผมไปลงนรก ด้วยกรรมที่ผมทำไว้ เธอทนเห็นผมทนทุกข์ทรมานไม่ได้จึงมาช่วย ถึงรู้ว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง ก็ยอมรับโทษ เพราะถ้าผมต้องจบชีวิตในเวลานี้ สิ่งที่ผมต้องลงมาทำในโลกมนุษย์จะไม่สำเร็จ ผมย้อนถามว่า สิ่งนั้นคืออะไร เธอบอกว่าผมต้องลงมาสร้างบารมี เธอบอกว่า ในวันนี้เขาจะกลับมาเอาชีวิตผมอีกแน่นอน เธอคงช่วยผมไม่ได้อีกแล้ว ขึ้นอยู่กับบุญเก่า กรรมใหม่ ที่ผมทำมาว่าจะสามารถช่วยผมให้พ้นความตาย ในครั้งนี้ได้หรือไม่

ประวัติ อ ชาญเวทย์ แสนทวี(ตอนที่1)


ประวัติ อาจารย์ ชาญเวทย์ แสนทวี
ตอนที่1 ผมชื่อ อาจารย์ ชาญเวทย์ เกิดมาในครอบครัวที่ คุณพ่อ คุณแม่ นับถือ ศาสนาคริสต์ ในปี พ.ศ. 2508 ขณะนั้นผมอายุได้ 5 ขวบ คืนวันหนึ่งมีผู้หญิงท่านหนึ่งได้มาหาผมในขณะที่ผมกำลังหลับ ได้บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ผมไม่เคยได้รับรู้มาก่อนเลยในชีวิต เธอเล่าให้ผมฟังว่า อยากไปป่าหิมพานต์มั้ย ที่ป่าหิมพานต์เป็นอย่างไร มีอะไรที่นั่นบ้าง พร้อมทั้งพาผมไปดูว่าในป่าหิมพานต์ สิ่งที่เล่าให้ฟังนั้นมันมีอยู่จริงหรือเปล่า ผมได้เห็นว่า สิงห์ตัวเขาใหญ่แค่ไหน สีสันอะไร กินรี กินนอน เป็นอย่างไร เพชรพญาธร เป็นอย่างไร ครุฑ ตัวเขาใหญ่ขนาดไหน มีพลังมากเพียงใด ผมยังได้เห็นต้นมัคคนารีผล ว่าผลออกมาเหมือนคน สวยงามเพียงใด
ต้นมัคคนารีผล บางคนบอกว่าไม่มีจริง แต่ผมขอยืนยันว่ามีอยู่จริง ลำต้นใหญ่ประมาณคน 40 คน โอบไม่มิด สูงมากมองให้เห็นยอดต้องแหงนคอตั้งบ่า เมื่อผลออกมามีลักษณะเหมือนผู้หญิงสาว อายุประมาณ ราวๆ 15-16 ปี บนหัวมีจุกเหมือนลูกมะเขือเทศ ใบหน้าสวยสดงดงาม ผิวขาว คิ้วติดกัน ลักษณะเหมือนกับที่เขาเรียกกันว่า คันศร มือและเท้าจะมีนิ้วมือนิ้ว ทั้ง 2 ข้างยาวเท่ากัน และไม่มีช่องว่างระหว่างนิ้ว ( นิ้วมือนิ้วเท้าติดกันหมด ) แต่ไม่มีชีวิตเหมือนคนเมื่อโตเต็มที่แล้ว บางผลจะหล่นออกมาจากขั้ว ตกลงมาที่โคลนต้น จะมีพวกคนธรรพ์ หรือ พวก เพชรพญาธร มาเก็บไปเสพย์สังวาส ( การสมสู่กับมัคคนารีผลที่หล่นลงพื้น ) เมื่อมีการหลับนอนกับมัคคนารีผล จะทำให้ผู้ที่เสพย์สังวาสผู้นั้นหลับไปนานถึง 4 เดือนเต็มๆ เนื่องจากต้นมัคคนารีผลนั้น ได้เกิดขึ้นเมื่อครั้งพระเวสสันดร เข้าป่ากับ พระนางมัทรี พร้อมทั้ง กัญหา ชาลี เพื่อบำเพ็ญทานบารมี จะได้ไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในชาติต่อไป เมื่อท่านเข้าไปอยู่ในป่าหิมพานต์ พระอินทร์ทรงกลัวว่า พระนาง มัทรี จะได้รับอันตราย จากพวกคนธรรพ์ เพชรพญาธร จะจับตัวนางไปกระทำย่ำยี จึงได้เนรมิตต้นมัคคนารีผลนี้ขึ้นมา เพื่อให้พระนางมัทรี พ้นอันตราย และมีคนบางกลุ่ม ได้นำผลมัคคนารีผลไปเสพย์สังวาส พระอินทร์ท่านได้ สาปเอาไว้ว่า ผู้ใดได้เสพย์สังวาสกับมัคคนารีผล จะต้องหมดสติไปนานถึง 4 เดือนเต็มๆ ก่อนที่จะถึงเวลากลับ มีคนนำผลไม้มาให้ผมทาน แต่ผู้หญิงที่พาผมไปเธอบอกว่า อย่าทานเด็ดขาด มิฉะนั้นจะต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดกาล ไม่สามารถกลับไปยังโลกมนุษย์ได้ หรือ ไม่สามารถที่จะเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป แล้วเธอก็พาผมกลับมายังโลกมนุษย์ดังเดิม






เสือสมิง ตอนที่1


เสือสมิงที่เมืองเพชรบุรี
เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2520 ระยะเวลา 30 กว่าปีที่ผ่านมานี้ ผมได้ไปเที่ยวที่ จังหวัดเพชรบุรี บ้านอาจารย์ คง เป็นอาจารย์สอนวิชาไสยศาสตร์ ขณะนั้นอาจารย์ อายุประมาณ 50 กว่าปี ยังแข็งแรงมาก ผมพักที่บ้านอาจารย์ เป็นเวลาหลายเดือน ได้เรียนรู้สิ่งมหัศจรรย์มากมายหลายอย่าง
หนึ่งในเรื่องราวต่างๆ ที่ผมจะนำมาล่าให้ฟังนั้น คือ เรื่อง เสือสมิง ความเชื่อของคนสมัยโปราณ เชื่อกันว่า เสือสมิง นั้นเกิดขึ้นได้ 2 วิธี ด้วยกัน
1.เกิดจากเสือลายพาดกลอนที่อายุแก่มากๆ ไม่สามารถจับสัตว์ป่าอื่นๆ กินเป็นอาหารได้ จะคอยล่าจับนายพรานที่เข้าไปล่าสัตว์ป่ากินอาหาร เมื่อได้กินเนื้อมนุษย์หลายๆ คน วิญญาณของคนที่ถูกเสือกินนั้นก็จะเข้าไปสิงอยู่ในตัวเสือ เสือนั้นจะมีอิทธิฤทธิ์แปลงร่างเป็นคน เพื่อจะหลอกนายพรานที่เข้าไปล่าสัตว์ในป่าจับกินเป็นอาหาร บางครั้งแปลงร่างเป็นคนเข้าไปปะปนกับคนในหมู่บ้านชายป่า เพื่อจับคนหรือสัตว์ที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้เป็นอาหาร โดยที่ชาวบ้านไม่รู้เลยว่าเป็นเสือสมิงที่แปลงร่างเข้ามาปะปนในหมู่บ้าน
2. เสือสมิงที่เกิดจากบุคคลที่เล่นคาถาอาคมจนแก่กล้า สามารถที่จะแปลงร่างเป็นเสือสมิงได้ ออกท่องเที่ยวไปในป่า ล่าสัตว์เป็นอาหาร ระยะเวลานานเข้าดวยคาถาอาคมที่แก่กล้ามากขึ้นและจับสัตว์ป่ากินเป็นอาหาร กินเนื้อสด จิตใจของคนๆ นั้น จากจิตใจที่เป็นมนุษย์ก็จะค่อยๆ กลายเป็นสัตว์ป่าไปโดยปริยาย
แต่เสือสมิงที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ ผมไม่ทราบว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุใด ท่านใดที่อ่านพบก็ช่วยพิจารณาด้วยว่า เสือที่ผมนำมาเล่าให้ฟังนั้นมาจากสาเหตุในข้อใด ใน ณ. ขณะนั้นผมจำได้แม่นว่าเป็น ต้นเดือนพฤศจิกายน เพราะอากาศหนาวเย็นมาก เมื่อ 30 กว่าปีที่ผ่านมาป่าใน จ.เพชรบุรี ยังสมบรูณ์มาก บ้านของอาจารย์อยู่ติดชายป่า มีบ้านเรือนอยู่ประมาณ 20 หลังคาเรือนในหมู่บ้านนั้น
ภรรยาของอาจารย์ อายุ 35 ปี เท่านั้น กำลังท้องแก่ ใกล้คลอดเต็มที่ ในเย็นวันนั้น อาจารย์ได้บอกกับผมว่า ให้เข้านอนกันแต่หัวค่ำ เช้าวันรุ่งขึ้นประมาณ ตี 4 จะเข้าป่า ไปยิงเก้ง ล่ากวาง มาเป็นอาหาร เหลือจากทำเป็นอาหารแล้ว จะเอาเนื้อไปขายในเมือง เพื่อจะได้เงินมาเก็บไว้สำหรับใช้จ่ายในเวลาที่ภรรยาของอาจารย์ คลอดลูก ด้วยความที่ผมไม่เคยเข้าป่า ผมตื่นเต้นมากที่ได้เข้าป่าไปล่าสัตว์ เช้าวันนั้นมาถึง พวกเราเตรียมตัวกันพร้อมออกเดินทางเข้าป่า อาจารย์หันไปบอกกับภรรยาว่า ระหว่างที่แกเข้าป่าไปล่าสัตว์ในป่า อย่าบอกให้ใครรู้เด็ดขาด อาจารย์ให้เหตุผลกับภรรยาว่า เดี๋ยวมีคนอื่นไปแย่งที่ขัดห้างในทำเลที่สัตว์ต้องลงมากินน้ำ จะทำให้ตัวแกกับผมได้ทำเลขัดห้างที่ไม่ดี ( การขัดห้าง หมายถึง การนำไม้มาวางพาดระหว่างกิ่งไม้ด้วยกันแล้วใช้เถาวัลย์ผูกมัดให้แน่ ) เดี๋ยวจะไม่ได้เนื้อกลับมา ภรรยาแกพยักหน้ารับรู้ และจัดเตรียมข้าวปลาอาหารแห้งให้กับเรา 2 คน นำไปกินกัน ระหว่างทางการไปล่าสัตว์(โปรดติดตามตอนต่อไป) โดย อ ชาญเวทย์ แสนทวี

ประสบการณ์เร้นลับ


ตอนที่ 2 วันนั้นพ่อผู้ใหญ่และพวกกว่าจะกลับไปก็เกือบทุ่มแล้ว เพื่อนเมาเข้ามุ้งได้ก็หลับไปเลย ส่วนผมยังนั่งสวดมนต์และทำกรรมฐานแผ่เมตตาให้ สุ ผู้หญิงผู้น่าสงสารในสายตาของผมในขณะนั้น กว่าจะเสร็จก็ราว 3 ทุ่ม จากนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังมา แจ้งให้เข้ากรุงเทพฯตกลงเรื่องงานภายใน 3 วัน ถ้าเกินกว่านั้นเขาจำเป็นต้องจ้างคนอื่นแทน ผมเลยบอกว่าจะเข้ากรุงเทพภายใน 2 วัน หลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว ผมได้ล้มตัวลงนอนแต่สายสร้อยกับพระที่ใส่คล้องคอไว้ ได้พันคอจนนอนไม่สบาย ผมเลยถอดสายสร้อยและพระไว้ข้างหมอนรวมกับมีดหมอที่หลวงพ่อให้มา ผมหลับไปตอนกี่โมงไม่ทราบมารู้สึกตัวอีกครั้ง มีคนมานั่งทับอยู่บนหน้าอก และเอานิ้วมือที่มีเล็บยาวมาจิ้มเข้าที่ปากผม ผมลืมตาขึ้น ภาพที่เห็นนั้นคือ สุ ผมเห็นหน้าเธออย่างชัดเจน หน้าของเธอขาวซีด ผมยาวลงมาปิดหน้าบางส่วน นัยน์ตาของเธอเหมือนไม่มีลูกตาดำอยู่ภายในตา ช่วงนั้นผมได้สวดคาถา นะโม พุทธายะ พร้อมทั้งเอามือของตัวเองปัดมือของ สุ ให้ออกจากปากของผม ให้ตายเถอะมือของผมปัดไม่โดนอะไรเลย เหมือนปัดอากาศอย่างไงอย่างงั้น ในขณะที่เธอยังนั่งอยู่บนหน้าอกผมและน้ำหนักก็เพิ่มมากขึ้นทุกที ทุกที มันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมาก นิ้วมือของเธอยังคงจิ้มอยู่ในปากของผม ผมจึงเอามือควานหามีดหมอที่วางอยู่ข้างหมอน พอคว้ามีดได้ก็แทงไปยังร่างที่นั่งทับอยู่บนหน้าอกผม ผมได้ยินเสียงของเธอร้องอย่างเจ็บปวด พร้อมกับร่างที่นั่งทับบนหน้าอกของผมหายไปต่อหน้าต่อตา ทั้งที่ขณะนั้นมีลมพัดกรรโชกอย่างแรง แต่ช่วงวินาทีนั้นทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในความสงบ ผมลุกขึ้นนั่งด้วยความเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมดูนาฬิกา เวลาตี 2 ครึ่งพอดี ยังเหลือเวลานานกว่าจะเช้า ผมหันไปดูเพื่อนซึ่งยังไม่ตื่น ผมคงนอนไม่หลับแล้ว จึงลุกขึ้นนั่งสวดมนต์และนั่งกรรมฐานจนเวลา ตี 4 ผมจึงลุกออกมาเพื่อเตรียมตัวทำงานในวันรุ่งขึ้น
พอตอนเช้าเพื่อนตื่นขื้นมาได้ถามผมว่า เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ผมจึงบอกเขาว่าไม่มีอะไร เพื่อให้เขาสบายใจในเวลาที่ผมไม่อยุ่ เที่ยงของวันนั้นผมได้บอกเขาว่าผมจะกลับกรุงเทพฯ ทำธุระเรื่องงานภายใน 2 วันนี้ เพื่อนบอกว่าถ้าพี่ไปกรุงเทพฯผมคงไม่กล้าอยู่คนเดียว ผมจึงไปปรึกษากับพ่อตา แม่ยาย ของเพื่อนว่าจะทำอย่างไรดี แม่ยายจึงบอกให้พ่อตาไปนอนเป็นเพื่อนแทนผม จึงขอต่อไฟฟ้าจากบ้านผู้ใหญ่มาที่นา มีไฟฟ้าก็คงไม่น่ากลัวเท่าไรนัก แม่ยายเพื่อนถามผมว่าจะไปกรุงเทพฯเมื่อไร ผมบอกว่าคงจะเป็นพรุ่งนี้เช้า เพราะทางกรุงเทพฯเร่งมาให้รีบไปคุยเรื่องงานใหเรียบร้อย
พอตกเย็น พ่อตาแม่ยายเพื่อนกลับไปบ้านกันหมดแล้ว ผมเห็นแสงไฟของรถมอเตอร์ไซด์และรถปิคอัพอีก1 คัน วิ่งตรงมาที่เพิงที่ผมพักอยู่ พอรถจอดผมจึงรู้ว่าเป็นเพื่อนของเพื่อนนั่นเอง พวกเขาเอาเหล้ามากินกันแล้วยังชวนผมกินอีกด้วย ผมจึงปฏิเสธไป พวกเขาจึงนั่งกินเหล้ากันต่อถึง 2 ทุ่มกว่าๆเหล้าก็หมด หนึ่งในกลุ่มจึงชวนกันไปกินต่อในตัวจังหวัด ทุกคนจึงตกลงจะไปกินเหล้ากันต่อในตัวจังหวัด พวกเขาจึงชวนผมบอกว่าพี่ไปด้วยกันดีกว่าอย่าอยู่คนเดียวเลย ผมบอกไม่เป็นไรอยากพักผ่อนมากกว่า พี่ไปก็ไม่สนุกไปกันเถอะ พวกเขาถามผมว่าพี่อยู่คนเดียวไม่กลัวผีเหรอ ถ้าพี่กลัวไปกับพวกผมดีกว่า พวกผมเคยเจอมาแล้วที่กล้าเข้ามาเพราะมากันหลายคน พวกเขาเห็นว่าผมไม่ไปแน่ ก็เลยพากันไปเที่ยวต่อทั้งหมด พอทุกคนไปกันหมดแล้ว ผมก็มาคิดว่าคืนนี้เราคงเจอดีอีกแน่ๆ ก็เลยหาก้อนหินมา 4 ก้อน แล้วทำการท่องคาถาเสกลงบนก้อนหินแล้วนำหินนั้นวางไว้ตามซอกเสาทั้ง 4 ทิศ เพื่อป้องกันไม่ให้ผีหรือสิ่งใดๆมารบกวนในขณะที่ผมหลับ ผมจึงเข้านอนพอหลับไปได้สักพักใหญ่ๆ มารู้สึกตัวตอนที่มีพายุและฝนสาดเข้ามาถึงตัว แล้วหอบเอาที่นอน หมอน มุ้ง ตกลงจากเพิงที่พักไปกองอยู่ใต้ถุนทั้งหมด ผมลุกขึ้นยืนกลางเพิงที่พัก มองซ้าย มองขวา ด้วยความมึนงง เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มองไปก็ไม่เห็นมีอะไร นอกจากลมและฝนที่สาดมาปะทะจนตัวเปียกไปหมด ผมจึงมองตรงออกไปด้านนอกเพิงที่ผมพัก ซึ่งมีกอไฝ่ขนาดใหญ่ขึ้นอยู่ทั้งซ้ายและขวา ทันใดนั้นเองสายตาของผมเห็นร่าง ร่างหนึ่งยืนอยู่ที่กอไฝ่ เป็นร่างของ สุ นั่นเอง ที่คอยมารบกวนผมอยู่ตลอดเวลา เธอมองมาทางผมอย่างปองร้ายในขณะที่พายุพัดอย่างแรง ทั้งลูกเห็บและฝนตกอย่างหนัก ต้นไฝ่ทั้งกอแทบจะโค่นลงมาด้วยแรงลม แต่ร่างนั้นกลับยืนทื่ออย่างไม่สะทกสะท้าน ผมรวบรวมสมาธิแผ่เมตตาให้ และนึกขึ้นว่า สุ ไปที่ชอบที่ชอบนะ บุญกุศลที่ผมทำมาขอยกให้ สุ อย่าได้มีเวรมีกรรมต่อกันเลย ผมไม่เจตนาทำร้าย สุ เพียงแต่ไม่อยากให้ สุ มารบกวนผมกับเพื่อน เวลาพักผ่อนเท่านั้น ระหว่างที่ผมคิดอยู่นั้น ไม้ที่อยู่บนขื่อโดนแรงลมพัดตกลงมาใส่ผมดีว่าโดนแค่หัวไหล่ แต่ก็สร้างความเจ็บปวดให้กับผมอย่างมาก ผมได้ยินเสียงลมพัดแรงขึ้น จากจิตที่เป็นเมตตากับกลายเป็นความโมโหมาแทนที่ ผมหามีดกับพระเครื่องที่หลวงพ่อให้ไว้ แต่ของทั้ง 2 อย่างที่ผมวางไว้ข้างหมอน โดนแรงลมพัดไปอยู่ใต้ถุนพร้อมกับ ที่นอน หมอน มุ้งแล้ว ผมหันซ้ายหันขวา ว่าพอจะมีอะไรใช้ขับไล่วิญญาณดวงนี้ได้บ้าง ทันใดนั้นสายตาผมก็มองเห็นกระเป๋าที่ผมแขวนไว้ข้างเสา ใช่ผมยังของดีอีกชิ้นหนึ่งในกระเป๋า ผมรีบเข้าไปหยิบของชิ้นนั้นออกมา แล้ววางลงกับพื้นพร้อมทั้งนั่งบริกรรมคาถาที่หลวงพ่อได้สอนไว้ ทันใดนั้น สิ่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากกลุ่มควันลางๆ ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ยืนขวางระหว่างผมกับสุ สิ่งที่ปรากฏนั้นคือ ควายตัวใหญ่ รูปร่างกำยำ ยืนจ้อง สุ อย่างดุร้าย และวิ่งกระโจนเข้าใส่ใช้เขาอันแหลมคมไล่ขวิดอย่างดุร้าย พร้อมทั้งได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวล ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าผมนั้นเป็นการต่อสู้กัน ระหว่าง สุ กับ ควายอาคม เหตุการณ์นี้ ดำเนินไปราว 20 นาที ทุกอย่างก็สงบลง ทั้งลมและฝน อย่างกับว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ผมมองดูนาฬิกาเกือบ ตี 3 เพื่อนยังไม่กลับ ผมเลยเดินลงไปใต้ถุนคลำหาไฟฉาย เมื่อเจอแล้วก็เปิดไฟหาพระกับมีดหมอที่โดนลมกวาดลงมารวมกับข้าวของทั้งหมด เมื่อเจอพระกับมีดหมอแล้ว ผมก็เดินดูรอบบริเวณเพิงพัก มีต้นไฝ่ขนาดใหญ่และเสาที่เอามาล้อมรั้วหักไปเป็นจำนวนมาก ผมไม่แน่ใจว่าไม้ที่หักนั้นเป็นเพราะแรงลม หรือเกิดจากการต่อสู้ของ สุ กับ ควายธนู กันแน่ แต่ที่น่าแปลกบริเวณที่ไม้หักและรอบเพิงพักมีรอยเท้าของควายย่ำอยู่โดยทั่วไป ระหว่างที่ผมยืนดูรอยเท้าควายอยู่นั้น ก็มีแสงไฟจากรถมอเตอร์ไซด์วิ่งเข้ามาคงเป็นเพื่อนแน่ๆ พอรถจอดตรงหน้าผม เพื่อนถามว่าพี่เป็นอะไรหรือเปล่าผมเป็นห่วงมาก จะกลับก็กลับไม่ได้ฝนตกหนักมาก เพื่อนมองดูบริเวณโดยรอบและเห็นรอยเท้าควาย จึงถามว่าพี่ควายที่ไหนมาย่ำเต็มไปหมด ผมบอกว่าพี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน พอฝนหยุดตกลงมาดูก็เป็นอย่างนี้แล้ว
พอตอนเช้าจะกลับกรุงเทพฯ ก็กลับไม่ได้ เพราะเสื้อผ้าเปียกฝนหมด ต้องตากแดดเสียก่อน และอยู่ช่วยเพื่อนเอาผ้าพสาสติกมาขึงเอาไม้มาตอกทำเป็นฝาบ้านทั้ง 4 ทิศ กันฝนสาดเข้ามาจะได้นอนได้ และเดินไฟจากบ้านพ่อผู้ใหญ่มาที่นา กว่าจะเสร็จก่อนเย็นแล้ว ผมให้เพื่อนมาส่งที่สถานีรถไฟที่ตัวเมืองอุดร และกลับกรุงเทพฯ ในวันรุ่งขึ้นของวันใหม่
เมื่อผมกลับมากรุงเทพฯ ก็ทำงานจนไม่มีเวลาติดต่อกลับไปหาเพื่อนเลยจนเวลาผ่านไปประมาณเดือนพฤษภา 47 ผมโทรศัพท์หาเพื่อนคนนี้ แต่เสียงปลายสายที่รับเป็นภรรยาของเพื่อนชื่อ พร เป็นคนรับสาย ผมแปลกใจจึงถาม พร ว่าเพื่อนกลับมากรุงเทพฯแล้วหรือ พร บอกเปล่าพี่ตอนนี้พวกหนูเอากระดูกของลูกสาวคนเล็กไปลอยอังคารที่จังหวัดระยอง ผมตกใจถามเรื่องราวเป็นอย่างไง พร บอกว่าหลังจากที่พี่เดินทางกลับกรุงเทพฯแล้ว พ่อตาของเพื่อนก็ลงไปนอนเป็นเพื่อนที่นาทุกคืน ก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น จนกระทั่ง วันที่ 29 เม.ย 47 พ่อของพรไม่สบายก็เลยนอนพักอยู่ที่บ้าน เพื่อนเลยเอาลูก( สามีของพร ) คนเล็กที่แม่ยายช่วยเลี้ยงให้ไปนอนเป็นเพื่อนอยู่ที่นาด้วย ลุกสาวคนเล็กนี้อายุ 2 ขวบเต็มพอดีในวันที่ 30 เม.ย 47 พรเล่าว่าพอสามีหลับไปมาตื่นตอนตี 5 แต่ไม่เห็นลูกสาวนอนอยู่ในมุ้ง เลยออกมาตามหารอบๆ บริเวณก็ไม่พบ พ่อและแม่ของพรรู้เข้าก็ขอแรงชาวบ้านให้ช่วยตามหาแต่หาอย่างไงก็หาไม่เจอ จนเวลาบ่ายมากแล้ว เพื่อนเอะใจเลยชวนชาวบ้านลงไปงมในบ่อน้ำ ก็พบร่างของเด็กนอนอยู่ก้นบ่อน้ำนั้น เมื่อผมได้ฟังเรื่องราวต่างๆจบลง ถึงกลับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่สงสารในโชคชะตาที่เกิดขึ้นกับครอบครัวนี้ เมื่อพรเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วก็ขอตัววางสายเพื่อจะลอยอังคารให้เสร็จ ส่วนผมคิดว่าเหตุที่เด็กต้องเสียชีวิต ไม่รู้ว่า สุ เขาชวนไปอยู่เป็นเพื่อนหรือเปล่า ส่วนเพื่อนเมื่อลอยอังคารกระดูกลูกแล้ว ก็ไม่ได้กลับไปที่อุดรอีกเลย เพื่อนให้เหตุผลว่ากลับไปเห็นบ่อน้ำที่ลูกตกไปตายแล้วทำใจไม่ได้ ก็เลยเป็นอันว่าทั้งเพื่อนและผมไม่ได้ไปที่อุดรอีกเลย ส่วนไก่งวง พ่อตากับแม่ยายของเพื่อนก็เลี้ยงกันต่อไป


เรื่องจริง จาก อ. ชาญเวทย์

ประสบการณ์เร้นลับ


เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือน มี.ค 47 ผมเป็นคนกรุงเทพ อยู่มาวันหนึ่งมีเพื่อนรุ่นน้องมาหาผมที่บ้าน ชวนให้ไปเลี้ยงไก่งวงที่จังหวัดอุดร แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้นานแค่ไหน เพราะว่าผมกำลังติดต่อเรื่องงานอยู่ คอยการติดต่อกลับมาเท่านั้น สรุปแล้วผมก็ได้ไปช่วยเพื่อนเลี้ยงไก่งวงที่จ.อุดรเมื่อไปถึงอุดร ผมได้ไปพักที่บ้านแม่ยายของเพื่อนคนนั้น และได้ปรึกษากันว่าจะเลี้ยงไก่งวงที่ไหนกันดี ถ้าเลี้ยงข้างหลังบ้านของแม่ยาย น้ำ-ไฟก็สะดวก แต่พื้นที่ ที่จะเลี้ยงไก่งวงมีน้อย ไม่สะดวกในการเลี้ยงไก่งวงจำนวนมาก ถ้าไปเลี้ยงในที่นา มีพื้นกว้างมีความสะดวกและเหมาะในการเลี้ยงไก่งวง แต่ไม่มีน้ำประปา ไฟฟ้า น้ำที่ใช้มีเพียงน้ำในบ่อที่ขุดไว้ เป็นบ่อขนาดใหญ่มีความลึกพอสมควร ส่วนที่นอนพักมีเพียงเพิงที่ยกพื้นสูงระดับศรีษะ ไม่มีฝากั้นทั้ง 4 ด้าน เลยตกลงกันว่าจะเลี้ยงไก่งวงที่ท้องนา ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 3-4 กิโลเมตร และยังต้องวิ่งตัดที่นาคนอื่นเข้าไปอีก 1 กิโลเมตร ซึ่งทำให้ไม่ค่อยสะดวกนักในการเข้า-ออกนัก
เช้าวันรุ่งขึ้นแม่ยายเพื่อนได้จ้างคนงานมา 5 คน เพื่อให้คนงานช่วยทำเล้าไก่ มีคนงานอยู่ 1 คน ท่าทางออกจะเป็นกะเทย อายุประมาณ 17 ปี ผมคิดว่าจะจ้างเขาให้ช่วยทำความสะอาดที่พัก จะจ้างเดือนละ 3,000 บาท เขาก็ปฏิเสธว่าให้เดือนละ 10,000 บาท ก็ไม่เอาที่มาทำก็เพราะเห็นว่ามากันหลายคนและเป็นเวลากลางวัน ถ้าให้มาค้างคืนที่นี่ไม่เอาเด็ดขาด เขาได้ถามผมว่าพี่คิดอย่างไรที่มาเลี้ยงไก่ที่นี่แถวนี้ พอตก 4-5 โมงเย็นก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาแถวนี้ พี่กลัวผีหรือกลัวคนมากกว่ากัน ผมก็ตอบว่ากลัวคนมากกว่า เพราะผมไม่ใช่คนที่นี่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เขาตอบมาว่า ถ้าพี่กลัวคนมากกว่าผีก็ไม่เป็นไร เพราะแถวนี้ตกเย็นไม่มีคนเดินให้เห็น ถ้าเห็นก็ไม่ใช่คนแน่นอนเป็นอันว่าก็ไม่ได้คนงานทำความสะอาดต้องทำกันเอง
เมื่อวันที่ 14 มี.ค 47 ผมได้นำไก่มาลงที่นาที่จัดเตรียมไว้ เพื่อนได้บอกผมว่าคืนนี้ต้องนอนเฝ้าไก่กันที่นี่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นพี่อย่าทิ้งผมนะ วันนั้นกว่าเราจะทำงานเสร็จก็ราว 2 ทุ่ม ถึงจะได้พักผ่อนกัน พอเข้ามุ้งเพื่อนได้เอาผ้าห่มคลุมโปงและหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ส่วนผมยังสวดมนต์และนั่งสมาธิ อยู่ราว 3 ทุ่มกว่า จึงได้ล้มตัวลงนอนอยู่ข้างๆเพื่อนแล้วหลับไปได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงขึ้นที่ขื่อ ผมลืมตาขึ้นมาเห็นเพื่อนลุกขึ้นมานั่งคลุมโปงด้วยอาการสั่นเทา และมองไปที่ขื่อหลังคา ผมได้มองตามสายตาของอเหมือนคนไม่มีลูกตา กำลังมองมาทางเพื่อนอยู่ ผมเลยดึงมือเพื่อนผมให้ลงมานอนข้างผม เมื่อเพื่อนนอนลงมาตามที่ผมบอก แล้วผมก็ลุกขึ้นมานั่งหันไปหยิบมีดหมอของหลวงพ่อที่ได้นำติดตัวมา ออกมาทำการอาราชธนา เพื่อขับไล่ปีศาลให้หนีไป ระหว่างที่ผมทำการอาราชธนาอยู่นั้น ผีสาวตนนั้นได้ลงมาจับขาเพื่อนผม แล้วยกตัวเพื่อนผมให้ลอยขึ้นจากพื้น ผมได้เอามีดหมอวางลงบนหน้าอกของเพื่อนแล้วอาราชธนา สักพักเพื่อนก็ลุกขึ้นมานั่งแล้วถามผมว่า พี่ทำอะไร ตอนที่พี่ดึงผมให้ล้มลงนอนผมกระดิกตัวไม่ได้เลย ผมเห็นทุกอย่าง ผมเห็นพี่ลุกขึ้นมาทำอะไรก็ไม่รู้ ผีมันจับขาผมและยกตัวผมให้ลอยขึ้นจากพื้น ผมพยายามร้องให้พี่ช่วยแต่ก็ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา ผมเห้นพี่เอามีดหมอมาวางที่หน้าอกผม พอพี่วางมีดลงผีผู้หญิงคนนั้นก็หายไป ผมก็กระดิกตัวได้และรีบลุกขึ้นมานั่ง พอหายจากอาการตกใจ ผมจึงได้ปลอบใจเพื่อนไปว่าไม่มีอะไรแล้วทำใจให้สบาย
พอเริ่มเช้า พ่อตา แม่ยายของเพื่อน พร้อมอาผู้ใหญ่ และคนในหมู่บ้านอีกหลายคน หนึ่งในนั้นมีอาพุด ซึ่งเป็นน้องชายคนเล็กของแม่ยายเพื่อนตามมาด้วย คำถามแรกที่หลุดออกจากปากแม่ยายเพื่อน คือเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ทุกคนล้อมวงกันเข้ามาฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากปากของเพื่อนอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อฟังจบแล้ว พ่อผู้ใหญ่ก็หันมาพูดกับผมว่า ทีแรกพวกพ่อไม่อยากจะเล่าให้ฟังเกรงว่าจะกลัวและหนีกลับกรุงเทพฯเสียก่อน แต่เธอเป็นคนมีวิชาติดตัว พ่อก็เล่าให้ฟัง ผู้หญิงที่เธอเห็นเมื่อคืน ชื่อ “ สุ ” เป็นลูกสาวของอาพุด เธอได้ไปทำงานที่กรุงเทพฯ เธอเป็นคนหน้าตาดี เลยมีหนุ่มๆมาจีบเยอะ ซึ่งตัวเธอก็ชอบแต่ก็ยังไม่คบใครเป็นแฟนจริงจัง เพราะฐานะของเธอยากจน เธอยังต้องส่งเงินมาช่วยทางบ้านทุกเดือน ด้วยเหตุนี้เธอจึงยังไม่มีแฟน และเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อ “ สุ ” ประสบอุบัติเหตุโดนรถชนตายที่กรุงเทพฯ เมื่อเอาศพกลับมาที่อุดร อาพุดก็ไม่ยอมให้ใครเอาศพของ สุ ไปทำพิธีที่วัด กลับเอาศพของสุไปฝังไว้ที่นาของอาพุดเอง ซึ่งอยู่ติดกับที่นาของแม่ยายเพื่อน พ่อผู้ใหญ่พูดแล้วชี้มือไปยังกอไฝ่กอใหญ่ ซึ่งอยู่ห่างจากเพิงที่เราพักไม่เท่าไรนัก หลังจากนำศพของ สุ ไปฝังไว้ที่นาก็เกิดเรื่องแปลกๆขึ้นหลายครั้ง บางครั้งมีคนเดินผ่านที่นาตอนเย็นๆก็จะแห็นผู้หญิง บางครั้งก็นั่ง บางครั้งก็ยืนกวักมือเรียกอยู่ในกอไฝ่ บางคืนที่มีฝนตกจะมีคนออกมาหาปลาที่บ่อน้ำ ที่มีบ่อเดียวในท้องนา จะเห็นผู้หญิงดำผุดดำว่ายเล่นน้ำอยู่ในบ่อน้ำนั้นคนเดียวในขณะที่ฝนตก พอเดินเข้าไปใกล้แล้วยกตะเกียงขึ้นส่องดู ผู้หญิงคนนั้นก็หันหน้ามาหาเท่านั้นเองชายหนุ่มที่ออกหาปลา ทิ้งแห ทิ้งตะเกียง ไว้ตรงนั้น วื่งกระเจิ่งกระเจิงเข้าหมู่บ้านอย่างไม่คิดชีวิต จากคำบอกเล่าของชายหนุ่มคนนั้น ผู้หญิงคนที่เขาเห็น คือ สุ นั่นเอง เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทำให้คนในหมู่บ้านไม่มีใครกล้าเข้ามาในบริเวณนี้ ไเป็นผู้หญิงจึงชอบชายหนุ่มเป็นเรื่องธรรมดา พวกผมเป็นเข้ามาอยู่ใหม่เป็นคนแปลกหน้า จึงมาทักทายด้วย หวังว่าคงไม่กลัวจนกลับกรุงเทพฯนะ แต่เพื่อนได้บอกว่า “ ผมกลัวครับกลัวมากด้วย” พ่อผูใหญ่จึงปลอบใจว่า ถ้ากลัวพ่อจะเลี้ยงเหล้าพวกเธอ 2 คนก็แล้วกัน จึงให้คนไปซื้อเหล้ามากินกัน แต่ผมได้ปฏิเสธไป ให้เหตุผลว่า ผมถือศีลห้า
เขียน โดย อาจารย์ ชาญเวทย์ แสนทวี

วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2551

รับตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่


ลักษณะของศาลแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. ศาล พรหม - เทพ - เทพารักษ์
a. หากเป็นตำราโบราณ กำหนดลักษณะในการอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสวรรค์ ดาวดึงส์ พรหมโลก เทวโลก เทพเทวดาชั้นฟ้าทั้งหลาย โดยลักษณะของศาลให้มีเสา 6 ต้นจึงจะถูกต้อง หากตั้งบนดาดฟ้าจะอัญเชิญเทพ - พรหมสถิต ในกรณีตั้งศาล 6 เสาบนพื้นดิน สามารถอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่วมได้ทั้งพระพรหม - พระอินทร์ - เทพ - รุกเทวดา - พระภูมิเจ้าที่ - แม่พระธรณี - เจ้าที่ - เจ้าท่า - เจ้าป่าเจ้าเขา - นางฟ้า - นางไม้ - แม่นางเจ้าของที่
*หากแต่ปัจจุบัน หลายที่สังเกตเห็นว่าใช้ศาลใหญ่เสาเดียว เชิญพระพรหมสถิตตามอาคารใหญ่ต่างๆทั่วไป
2. ศาลเจ้าที่
a. ต้องตั้งที่พื้นดิน ห้ามขึ้นบนบ้าน หรือตั้งบนดาดฟ้าเป็นอันขาด โดยลักษณะของศาลให้มีเสา 4 ต้น
3. ศาลพระภูมิ
a. ต้องตั้งที่พื้นดิน และห้ามขึ้นบนบ้านเช่นเดียวกับศาลเจ้าที่ โดยลักษณะของศาลให้มีเสาเพียง 1 ต้น
การตั้งศาลพระภูมิ
การเซ่นสังเวยและการตั้งศาลพระภูมิ ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมาแต่โบราณ โดยจะกระทำเมื่อปลูกบ้านใหม่หรือย้ายที่อยู่ เพราะเชื่อว่าขั้นตอนการตั้งศาลจะเป็นการขับไล่สิ่งอัปมงคลทั้งหลายให้ออกไปจากบ้าน แล้วจึงอัญเชิญพระภูมิมาสิงสถิตเพื่อปกป้องคุ้มครองเจ้าของบ้านและบริวารให้อยู่เย็นเป็นสุข มีความเจริญรุ่งเรืองมีโชคลาภ และถือว่าพระภูมิเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งของบ้าน พิธีการตั้งศาลนั้น โดยทั่วไปเจ้าของบ้านจะปรึกษาผู้รู้หรือพราหมณ์ผู้ประกอบพิธี มาประกอบพิธีให้ เริ่มจากการตรวจดูฤกษ์ยาม ซึ่งเข้ากับวันเดือนปีเกิดของเจ้าของบ้าน เพื่อให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข

สิ่งที่ต้องคำนึงในการตั้งศาลพระภูมิ คือ สถานที่ตั้ง,ทิศทาง,วันและฤกษ์ตั้ง,ความสูงของศาลพระภูมิและผู้ประกอบพิธีกรรมการตั้งศาลพระภูมิ
สถานที่ที่ตั้งศาล มีหลักการพิจารณาดังนี้
1. ที่ตั้งศาลต้องเป็นบริเวณพื้นดิน มิใช่บริเวณเดียวกับพื้นของตัวบ้าน
2. หากไม่มีพื้นที่ที่เป็นพื้นดิน สามารถทำการตั้งศาลบนชั้นดาดฟ้าได้ แต่ส่วนใหญ่ศาลที่ตั้งบนดาดฟ้าจะเป็นศาลเทพต่างๆ เช่นพระพรหม หรือ พระนารายณ์ มิใช่พระภูมิเจ้าที่
3. จุดที่ตั้งของศาลต้องไม่ถูกเงาของตัวบ้านทอดลงมาทับ
4. ที่ตั้งของศาลควรอยู่ห่างจากบริเวณที่ตั้งของห้องน้ำ
5. อย่าตั้งศาลให้อยู่ใกล้กับตัวบ้านมากนัก
6. อย่าหันหน้าศาลเข้าสู่บริเวณที่ตั้งของห้องน้ำ
7. ไม่ควรตั้งศาลให้หันหน้าตรงกับประตูหน้าบ้าน
8. ตั้งศาลให้ห่างจากรั้วหรือกำแพงบ้านอย่างน้อย 1 เมตร
9. ถ้าสามารถยกพื้นที่ตั้งศาลให้สูงขึ้นสัก 1 คืบ จากพื้นดินได้ ก็เหมาะสมอย่างยิ่ง
10. ความสูงของศาล ควรสูงเหนือระดับสายตาของผู้เป็นเจ้าของบ้านขึ้นไปเล็กน้อย
ทิศทาง การหันหน้าศาลพระภูมิสู่ทิศมงคล
1. ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ ทิศอีสาน เป็นทิศที่ดีที่สุดหากตั้งศาลหันไปทิศนี้บ้านนั้นจะมีความเจริญรุ่งเรืองตลอดไป
2. ทิศตะวันออก หรือ ทิศบูรพา เป็นทิศที่ดีอันดับ 2 หากตั้งศาลหันไปทิศนี้บ้านนั้นจะมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ประมาณ 100 ปี หลังจากนั้น จะมีแต่เสื่อมลงๆจนถึงขั้นหาความสุขความเจริญไม่ได้
3. ทิศตะวันออกเฉียงใต้ หรือ ทิศอาคเณย์ เป็นทิศที่ดีอันดับ 3 หากตั้งศาลหันไปทิศนี้บ้านนั้นจะมีความเจริญรุ่งเรือง
อยู่ประมาณ 50 ปี หลังจากนั้น จะมีแต่เสื่อมลงๆจนถึงขั้นหาความสุขความเจริญไม่ได้
ทิศต้องห้ามในการตั้งศาลพระภูมิคือ ทิศตะวันตกและทิศใต้
เมื่อหาทิศทางตั้งศาลได้แล้วจะต้องพูนดินให้สูง 1 คืบ เกลี่ยดินด้วยมือและทุบให้แน่น ห้ามใช้เท้าเด็ดขาด และเตรียมน้ำมนต์ไว้พรมบริเวณพื้นดินเพื่อขับไล่ภูตผีปีศาจและสิ่งชั่วร้ายต่างๆ
น้ำมนต์ที่ว่านี้เรียกว่า " น้ำมนต์ธรณีสาร " น้ำมนต์ธรณีสารนี้ ทำได้โดยนำน้ำธรรมดาไปให้พระท่านสวดพระพุทธมนต์ทำเหมือนน้ำมนต์ทั่วไปแต่ต่างกัน
ตรงที่ให้ท่านนำใบไม้ต้นธรณีสารมาใส่ลงในน้ำที่จะทำน้ำมนต์
วันและฤกษ์ตั้งศาล
มีความสำคัญมาก ควรเลือกวันที่ดีและมีความเป็นสิริมงคลเพื่อให้ประสิทธิ์ผลในทางมงคล
แก่ผู้อยู่อาศัยในบ้านเรือนนั้นสืบต่อไป
วันต่อไปนี้ถือเป็นวันที่เป็นมงคลฤกษ์ แต่ถ้าวันข้างขึ้น หรือข้างแรมดังกล่าวไปตรงกับ
วันต้องห้าม ของเดือนใด ให้เลี่ยงไปใช้วันอื่นเสีย
วันข้างขึ้น วันข้างแรม
๒ ค่ำ ๒ ค่ำ
๔ ค่ำ ๔ ค่ำ
๖ ค่ำ ๖ ค่ำ
๙ ค่ำ ๙ ค่ำ
๑๑ ค่ำ ๑๑ ค่ำ
เวลาฤกษ์อันเป็นมงคล
วันอาทิตย์ เวลา ๖.๐๙ น. - ๘.๑๙ น.
วันจันทร์ เวลา ๘.๒๙ น. - ๑๐.๓๙ น.
วันอังคาร เวลา ๖.๓๙ น. - ๘.๐๙ น.
วันพุธ เวลา ๘.๓๙ น. - ๑๐.๑๙ น.
วันพฤหัสบดี เวลา ๑๐.๔๙ น. - ๑๑.๓๙ น.
วันศุกร์ เวลา ๖.๑๙ น. - ๘.๐๙ น.
วันเสาร์ เวลา ๘.๔๙ น. - ๑๐.๔๙ น.
วันต้องห้าม
เดือนอ้าย ( ธันวาคม ) วันต้องห้ามคือ วันพฤหัสบดี และวันเสาร์
เดือนยี่ ( มกราคม ) วันต้องห้ามคือ วันพุธ และวันศุกร์
เดือน ๓ ( กุมภาพันธ์ ) วันต้องห้ามคือ วันอังคาร
เดือน ๔ ( มีนาคม) วันต้องห้ามคือ วันจันทร์
เดือน ๕ ( เมษายน ) วันต้องห้ามคือ วันพฤหัสบดี และวันเสาร์
เดือน ๖ ( พฤษภาคม ) วันต้องห้ามคือ วันพุธ และวันศุกร์
เดือน ๗ (มิถุนายน ) วันต้องห้ามคือ วันอังคาร
เดือน ๘ ( กรกฎาคม) วันต้องห้ามคือ วันจันทร์
เดือน ๙ ( สิงหาคม ) วันต้องห้ามคือ วันพฤหัสบดี และวันเสาร์
เดือน ๑๐ ( กันยายน ) วันต้องห้ามคือ วันพุธ และวันศุกร์
เดือน ๑๑ ( ตุลาคม ) วันต้องห้ามคือ วันอังคาร
เดือน ๑๒ ( พฤศจิกายน ) วันต้องห้ามคือ วันจันทร์
จะสังเกตได้ว่า จะไม่ปรากฏว่ามี วันอาทิตย์ เป็น ข้อห้ามเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าให้ยึดเอาวันอาทิตย์
เป็นวันที่ดีที่สุดสำหรับการตั้งศาล เพราะคนโบราณถือกันว่า วันอาทิตย์นั้นแม้จะจะเป็นวันที่มีกำลังแรงดี
แต่เป็นวันแรงและวันร้อน ไม่เหมาะที่จะทำการตั้งศาล เพราะบ้านอาจจะ ร้อน จนปราศจากความร่มเย็นเป็นสุข แต่ ถ้าหากผู้กระทำพิธีมีเคล็ดมีมนตร์แก้ความร้อนของวันได้ ก็สามารถคิดทำการตั้งศาลในวันนี้ได้ตามความสะดวก

ตัวศาลพระภูมินั้นไม่มีข้อกำหนดว่าต้องเป็นสีใดหรือขนาดเท่าใด ส่วนใหญ่จะนิยมใช้สีประจำวันเกิดของเจ้าที่ ลักษณะและรูปแบบของศาลพระภูมิจะสะท้อนให้เห็นวิวัฒนาการของบ้านเรือนและอาคารสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไป ตามยุคสมัยและความเจริญของบ้านเมืองอย่างเช่นบ้านในสมัยโบราณ สร้างเป็นเรือนไม้ทรงไทย ศาลพระภูมิก็จะมีรูปแบบเป็นทรงไทยไม้หลังน้อย ๆ เช่นเดียวกัน ในปัจจุบันเราจึงเห็นรูปแบบของศาลพระภูมิที่ดูแปลกตาตามยุค บางแห่งสร้างขึ้นจากการย่อส่วนของสถานที่จริง เพื่อให้เข้ากับอาคารที่มีอยู่

ส่วน "เจว็ด" (บางทีอาจเรียกว่า "ตระเว็ด" หรือ "เตว็ด" ก็มี) หรือตัวองค์พระภูมิ ถือเสมือนตัวแทน "เทวดา" หรือ "เจ้าที่" นาม "พระชัยมงคล" เดิมจะเป็นภาพเทวดาบนแผ่นไม้รูปวงรีมีฐานตั้งปัจจุบันเจว็ดประจำศาลมักจะใช้เป็นรูปหล่อทองเหลือง ดูเปล่งปลั่งคล้ายทอง ในหัตถ์ขวาถือพระขรรค์ หัตถ์ซ้ายถือถุงเงิน เชื่อว่าท่านจะคอยประทานเงินให้แก่ผู้เป็นเจ้าของที่ เดิมหัตถ์ซ้ายของเทวดาจะถือสมุด (หนังสือ) ซึ่งคนในสมัยก่อนน่าจะตระหนักว่าความรู้สำคัญกว่าเงินทองเพราะหนังสือก่อให้เกิดความรู้สติปัญญา เพื่อใช้เลี้ยงชีพต่อไปภายภาคหน้า

เครื่องตั้งศาล
1. ข้าบริวารรับใช้ชาย-หญิง ของพระภูมิ ๑ คู่ เป็นตุ๊กตา มีทั้งปูนพลาสเตอร์ปั้นและพลาสติก
2. ตัวละครรำหุ่นปั้นชาย-หญิง ๑ คู่
3. ช้างปั้น ม้าปั้น 1 คู่
4. แจกันดอกไม้ ๑ คู่
5. กระถางธูป ๑ ใบ
6. ผ้าเหลืองผูกเจว็ด ๑ ผืน หรือ ผ้า 3 สี
7. ม่านประดับศาล ๔ ผืน
8. ผ้าห้อยหน้าศาล ๑ ผืน
9. เทียนเงินเทียนทองอย่างละ ๑ เล่ม
10. ธูปเงินธูปทอง อย่างละ ๒ ดอก

ในวันทำพิธีตั้งศาล เจ้าบ้านตระเตรียมเครื่องสักการะและสังเวยพระภูมิชุดใหญ่ ตั้งบนโต๊ะพิธีต่อจากนั้นผู้ทำพิธีหรือพรามหมณ์จะทำพิธีร่ายคาถาทำน้ำมนต์ไหว้ครู อัญเชิญเทวดาให้มาสิงสถิตที่เจว็ด ก่อนนำเสาศาลมาฝังลงดินเพื่อให้ทำมาค้าขึ้นก้าวหน้าร่ำรวย จะมีการนำน้ำมนต์ธรณีสารมารดบริเวณหลุม ช่วยไล่ภูติผีและสิ่งชั่วร้ายให้หมดไป จึงฝังสิ่งมงคลทั้งหลายลงไปด้วย เช่น ทองคำ เงิน เหล็ก แก้วมณี เป็นต้น รวมทั้งแผ่นทองคำ ซึ่งจารดวงชะตาของเจ้าของบ้าน ดวงชะตาพระภูมิ และยันต์จัตตุโร เจิมด้วยแป้งหอมน้ำมันหอม โรยทับตามด้วยดอกไม้ชื่อเป็นมงคลปนกับเหรียญบาทเหรียญสตางค์ จากนั้นจึงโบกปูนปิดทับตั้งเสาศาลคร่อมรอยปูนนี้ ให้ความสูงของปลายเสาอยู่ระดับเพียงตาจึงยกระดับศาลพระภูมิขึ้นบนเสาไม่ให้เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง ถ้าเป็นสมัยก่อนจะนำเสาของศาลนั้นปักลงหลุมที่ทำพิธี

หลังจากอัญเชิญเจว็ดมาสถิตที่ศาล โดยห้ามมิให้เอียงด้านใดด้านหนึ่ง พราหมณ์ผู้ทำพิธีจะมีการเจิมศาลและพรมน้ำอบที่ตัวศาล จากนั้นจึงจัดแจกันดอกไม้ กระถางธูป ข้ารับใช้พระภูมิ ละครรำ ช้างม้า เครื่องเซ่นบูชา พวงมาลัย ผ้าแพรผ้าสีผูกประดับที่เสา บูชาเครื่องเซ่น เป็นอันเสร็จพิธีตั้งศาล

ส่วนการเซ่นสังเวยพระภูมิหลังจากวันทำพิธีแล้ว นิยมทำกันในหลายโอกาสพร้อมกับงานมงคลอื่น ๆ เช่น งานขึ้นปีใหม่ งานทำบุญบ้าน งานแต่งงาน งานบวช บางคนอาจบูชาทุกวัน โดยการถวายนั้น ตามตำราพรหมชาติกล่าวว่า ต้องกล่าวชื่อพระภูมิซึ่งก็คือ "พระชัยมงคล" ให้ถูกต้องต้องสังเวยอาหารคาวหวานให้ถูกต้องในเวลาก่อนเที่ยงวัน และต้องออกชื่อคนใช้ของพระภูมิคนใดคนหนึ่ง (นายจันทิศ นายจันถี และจ่าสพพระเชิงเรือน) เป็นคนนำไปถวายบูชาพระภูมิอีกทอดหนึ่งโดยเครื่องสังเวยดูตามเดือนดังนี้

เดือน ๕, ๖, ๗, บูชาด้วยอาหารตามมีตามกินตามพื้นบ้าน เดือน ๘, ๙, ๑๐ บูชาด้วยเนื้อพล่า ปลายำ เดือน ๑๑, ๑๒, ๑ บูชาด้วยเนื้อดิบสด ๆ และเดือน ๒, ๓, ๔ บูชาด้วยผลหมากรากไม้

เมื่อเสร็จจากการเซ่นบูชาแล้ว ควรลาเครื่องสังเวยหลังจากธูปหมดก้านแล้ว แบ่งอาหารคาวหวานเป็นที่เล็ก ๆ วางไว้โคนเสา เพื่อเซ่นแก่คนใช้ของพระภูมิและผีไม่มีญาติ

รับตั้งศาล โดยอาจารย์ ชาญเวทย์ 0865675101
รับจัดตั้งศาลพระพรหม - ตั้งศาลพระภูมิ ศาลเทพ และศาลต่าง ๆ (รับถอนศาลเก่าทุกชนิด) รับประกอบพิธีพราหมณ์ในงานมงคลต่าง ๆ เช่น บวงสรวงในพิธีทั่วไป - บวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ - บวงสรวงศาลต่าง ๆ ,วางศิลาฤกษ์ - ยกเสาเอก - ลงเข็มมงคลปลูกบ้าน ,เปิดกล้องถ่ายละคร - ภาพยนตร์ ,ไหว้ครู - บูชาครู ,บายศรีสู่ขวัญ - ขวัญนาค - โกนจุก ,และรับเบิกเนตรเทวรูปต่าง ๆ ยินดีรับปรึกษาพิธีกรรม - พิธีการตั้งศาล - ถอนศาลทุกชนิด ให้คำแนะนำเกี่ยวกับพิธีกรรมนานาประเภทได้แบบกันเอง ประกอบพิธีกรรมโดยพราหมณ์ ผู้ชำนาญและสามารถประกอบพิธีกรรมอย่างถูกต้องตามแบบแผนโบราณประเพณี รับถอนของ ถอนเสน่ห์ พิธีกรรมไสยศาตร์ ทุกชนิด

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ดูดวง 12 ราศี เสริมบารมี


ดวง 12 ราศี เสริมบารมี
ราศีมังกร (16 ม.ค.-15 ก.พ.)
อุปนิสัย นิยมสร้างตนเอง มุมานะ เป็นคนจริงจังกับชีวิต ระมัดระวังตัวดี
นิสัยรวม พูดจริงทำจริง ไม่ย่อท้ออดทนและมั่นคง
ข้อเสีย เครียดง่าย เศร้าง่าย หลงตัวเอง ช่างติเตียน
สร้างพลัง การเขียน งานปั้น ดูหนัง หรือจัดรูปถ่ายตัวเอง
เครื่องดื่ม น้ำหวานสีต่างๆ
ธาตุ ดิน
สัตว์ แพะ ลา สุนัข
อัญมณี โกเมน นิล
สี เทา ดำ แดง ฟ้า
ดอกไม้ หลิว สน ฝิ่น
วัน อาทิตย์
ทิศ ใต้
โลหะ ตะกั่ว
เลขดี 7 8 9,
โรคประจำตัว โรคผิวหนัง
สมุนไพรบำบัด โรสแมรี่ คาโมมาย
อาหารที่ควรทาน ปลา หัวหอม ผักขม แตงกวา ผักขม
สิ่งนำโชคคือ ของใช้กระจุกกระจิกสีดำ เทา น้ำตาลหม่น ถ้าอยากให้ชีวิตมีความสุขให้รับประทานหัวหอมเป็นประจำ หัวหอมดีต่อคุณ อักษร K , T สร้อยคอจี้รูปดาว ต่างหูมุก ตุ๊กตาหุ่นยนต์ สถานที่ริมทะเล
กางเกงตัวหลวมพอง
อาชีพที่เหมาะ วันอาทิตย์ งานช่าง วิศวกร งานไฟฟ้า วันจันทร์ ขนส่ง ทำทัวร์
วันอังคาร งานส่วนตัว ค้าขาย วันพุธ ตำรวจ สืบสวน สอบสวน วันพฤหัสบดี ค้าของเก่า ของโบราณ
วันศุกร์ งานเกษตร สินเชื่อ ธนาคาร วันเสาร์ งานเกษตร วิศวกร

ราศีกุมภ์ (16 ก.พ.-15 มี.ค.)

อุปนิสัย ชอบศึกษาในหลายๆเรื่องและคิดถึงอนาคต คิดเรื่องแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา ชอบพัฒนาความคิด จึงมีเพื่อนมากมายให้ความร่วมมือ
นิสัยรวม ก้าวทันโลก เป็นมิตรกับทุกคน น่าเชื่อถือมีเหตุผล ซื่อสัตย์
ข้อเสีย นักฝัน ช่างติเตียน ลำเอียงไม่ค่อยยอมรับความเป็นจริง
สร้างพลัง เวลาเครียดให้นั่งสมาธิ
ธาตุ ลม
สัตว์ นกอินทรีย์ นกยูง
อัญมณี ไพลิน อะเมทีสต์
สี เหลืองอ่อน เขียวม่วง
ดอกไม้ ดอกเชอรี่ มะกอก
วัน เสาร์
ทิศ ตะวันออกเฉียงใต้
โลหะ ตะกั่ว
เลขดี 0 4 7
เครื่องดื่ม น้ำส้ม เสาวรสและน้ำแอปเปิ้ล
สมุนไพร คาโมมาย ลาเวนเดอร์ กระดังงา
อาหารที่ควรทาน แครอท ไชเท้า แตงกวา หัวไชเท้า เกาลัด กะหล่ำปลี
สิ่งนำโชคคือ ของใช้สีฟ้า เขียว เหลือง อาหารนำโชคคือ สลัดผัก เลข 5
อักษร E, W สถานี เป้ที่เป็นทรงกระเป๋าเอกสาร แหวนอัญมณี สีดำ
และกระโปรงยีนส์
อาชีพที่เหมาะ วันอาทิตย์ งานท่องเที่ยว การเงิน ธนาคาร งานต่างประเทศ วันจันทร์ ปล่อยเงินกู้ กิจการที่ปรึกษา การเมือง ทัวร์ วันอังคาร การกีฬา ค้าขาย วันพุธ การเงิน ธนาคาร ประชาสัมพันธ์ งานบันเทิง วันพฤหัสบดี ธนาคาร ทำธุรกิจ วันศุกร์ งานที่ต้องเสี่ยง งานบันเทิง วันเสาร์ การเมือง บริหาร

ราศีมีน (16 มี.ค.-15 เม.ย.)
อุปนิสัย เป็นคนมีจิตใจดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น แบ่งปัน คิดเก่ง ช่างฝัน รักสวยรักงาม มีความสามารถรอบด้าน
นิสัยรวม รักศาสนา มีความจงรักภักดี มีญาณพิเศษ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น
ข้อเสีย ใจอ่อน อ่อนแอ รวนเร และขี้เกียจ
สร้างพลัง การนั่งสมาธิ
ธาตุ น้ำ
สัตว์ ปลา
อัญมณี ไข่มุก อะมีทีสต์ งาช้าง
สี ฟ้า เขียว เขียวอ่อน นวล สีครีม
ดอกไม้ ดอกบัว ดอกฟอเกตมีนอต
วัน พฤหัสบดี
ทิศ ตะวันออกเฉียงใต้
โลหะ ดีบุก
เลขดี 2 5 7
เครื่องดื่ม น้ำผักผลไม้ดีกับคุณ
สมุนไพร สาระเหน่ มะลิ ส้ม มะนาว ไม้แก่นจันทร์
สิ่งนำโชคคือ ของใช้สีฟ้า น้ำเงิน สีอ่อนๆ องุ่นทำให้สุขภาพคุณดี เลข 6 อักษร F , O
น้ำผลไม้สด สวนดอกไม้ ภาพถ่ายบรรพบุรุษ หมอนเป็นสีๆ โบว์ หรือริบบิ้น
เสื้อกันหนาวลายดอกไม้
อาชีพที่เหมาะ วันอาทิตย์ ครู อาจารย์ นักบริหาร วันจันทร์ ปล่อยเงินกู้ กิจการที่ปรึกษา ทนาย การเมือง เศรษฐกิจ วันอังคาร กีฬา งานแข่งขัน วันพุธ การเงิน ธนาคาร ประชาสัมพันธ์ งานบันเทิง วันพฤหัสบดี ทำธุรกิจส่วนตัว งานธนาคาร วันศุกร์ งานบันเทิง งานที่ต้องเสี่ยง วันเสาร์ การเมือง บริหาร


วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ดูดวง ไสยศาสตร์


ไสยศาตร์กับความเชื่อ
พบว่า "ไสยศาสตร์" เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยคติความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ เวทมนตร์ คาถา สิ่งเร้นลับ หรืออำนาจเหนือธรรมชาติ ที่มีลักษณะเป็นการหวังพึ่งอำนาจภายนอกหรือการดลบันดาลจากอำนาจภายนอก มีต้นกำเนิดมาจากบทสวดในคัมภีร์พระเวท และยังพบอีกว่า ไสยศาสตร์ยังเป็นเรื่องที่ไม่อาจพิสูจน์ได้แน่นอนว่ามีผลจริงหรือไม่ การหวังพึ่งไสยศาสตร์นั้นก็มีข้อจำกัดอยู่มาก และที่สำคัญคือไม่อาจนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้ เพราะที่สุดของไสยศาสตร์อาจแสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ก็เป็นเพียงขั้นโลกิยอภิญญา ยังเกี่ยวข้องอยู่กับโลก อยู่ในวิสัยของปุถุชน
ส่วน "พุทธศาสตร์" เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาทั้งหมด แต่ในงานวิจัยนี้หมายเอาเฉพาะหลักคำสอนสำคัญ ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนาได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งการกระทำ ซึ่งจัดเป็นกิริยวาท หรือกรรมวาท คือสอนให้หวังผลจากการกระทำ เป็นการหวังพึ่งตนเองสู่อิสรภาพคือ พ้นทุกข์ได้ และมีเป้าหมายสูงสุดคือปัญญา การอุบัติขึ้นของพระพุทธศาสนาเป็นการประกาศ อิสรภาพให้แก่มนุษย์ด้วยปรัชญาที่ว่า "มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้" และจำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนพัฒนาด้วยการศึกษา ที่เรียกว่าไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ และปัญญา และในขั้นสูงสุด การฝึกฝนพัฒนามนุษย์จะนำไปสู่การรู้แจ้งสัจธรรม คือทำให้เกิดปัญญา เข้าใจถึงความสัมพันธ์และอิงอาศัยกันของสิ่งทั้งหลาย ทั้งที่เกี่ยวกับชีวิตของเรา สังคม และสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ยังผลให้หลุดพ้นเป็นอิสระหรือพ้นทุกข์ได้
ตามทรรศนะของ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) จะเห็นได้ว่า ไสยศาสตร์คือความเชื่อในอำนาจนอกตัว หรืออำนาจเหนือธรรมชาติ ที่มีลักษณะเป็นการหวังพึ่งการดลบันดาลจากภายนอก แม้ว่าพระธรรมปิฎกจะมิได้ปฏิเสธความมีอยู่จริงของไสยศาสตร์ แต่ก็มิได้สนับสนุนให้เสียเวลาอยู่กับการพิสูจน์ว่า ไสยศาสตร์มีอยู่จริงหรือไม่ และในทางตรงกันข้ามท่านได้ชี้ให้เห็นว่าไสยศาสตร์มีโทษอย่างไร แม้ที่สุดการแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ก็เป็นเพียงโลกิยอภิญญา ยังอยู่ในวิสัยแห่งปุถุชน ไม่อาจนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้ และท่านยังได้แสดงจุดยืนในหลักแห่งพุทธธรรม เพื่อให้มนุษย์ได้รับโอกาสในการฝึกฝนพัฒนาตนที่สูงขึ้น โดยอาศัยความสัมพันธ์กันระหว่างศาสตร์ทั้งสองเป็นจุดนัดพบ เพื่อชักนำมวลมนุษย์เข้าสู่พุทธศาสตร์
โดย อ.เต่า

ดูดง

ไสยศาตร์กับความเชื่อ
พบว่า "ไสยศาสตร์" เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยคติความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ เวทมนตร์ คาถา สิ่งเร้นลับ หรืออำนาจเหนือธรรมชาติ ที่มีลักษณะเป็นการหวังพึ่งอำนาจภายนอกหรือการดลบันดาลจากอำนาจภายนอก มีต้นกำเนิดมาจากบทสวดในคัมภีร์พระเวท และยังพบอีกว่า ไสยศาสตร์ยังเป็นเรื่องที่ไม่อาจพิสูจน์ได้แน่นอนว่ามีผลจริงหรือไม่ การหวังพึ่งไสยศาสตร์นั้นก็มีข้อจำกัดอยู่มาก และที่สำคัญคือไม่อาจนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้ เพราะที่สุดของไสยศาสตร์อาจแสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ก็เป็นเพียงขั้นโลกิยอภิญญา ยังเกี่ยวข้องอยู่กับโลก อยู่ในวิสัยของปุถุชน
ส่วน "พุทธศาสตร์" เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาทั้งหมด แต่ในงานวิจัยนี้หมายเอาเฉพาะหลักคำสอนสำคัญ ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนาได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งการกระทำ ซึ่งจัดเป็นกิริยวาท หรือกรรมวาท คือสอนให้หวังผลจากการกระทำ เป็นการหวังพึ่งตนเองสู่อิสรภาพคือ พ้นทุกข์ได้ และมีเป้าหมายสูงสุดคือปัญญา การอุบัติขึ้นของพระพุทธศาสนาเป็นการประกาศ อิสรภาพให้แก่มนุษย์ด้วยปรัชญาที่ว่า "มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้" และจำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนพัฒนาด้วยการศึกษา ที่เรียกว่าไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ และปัญญา และในขั้นสูงสุด การฝึกฝนพัฒนามนุษย์จะนำไปสู่การรู้แจ้งสัจธรรม คือทำให้เกิดปัญญา เข้าใจถึงความสัมพันธ์และอิงอาศัยกันของสิ่งทั้งหลาย ทั้งที่เกี่ยวกับชีวิตของเรา สังคม และสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ยังผลให้หลุดพ้นเป็นอิสระหรือพ้นทุกข์ได้
ตามทรรศนะของ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) จะเห็นได้ว่า ไสยศาสตร์คือความเชื่อในอำนาจนอกตัว หรืออำนาจเหนือธรรมชาติ ที่มีลักษณะเป็นการหวังพึ่งการดลบันดาลจากภายนอก แม้ว่าพระธรรมปิฎกจะมิได้ปฏิเสธความมีอยู่จริงของไสยศาสตร์ แต่ก็มิได้สนับสนุนให้เสียเวลาอยู่กับการพิสูจน์ว่า ไสยศาสตร์มีอยู่จริงหรือไม่ และในทางตรงกันข้ามท่านได้ชี้ให้เห็นว่าไสยศาสตร์มีโทษอย่างไร แม้ที่สุดการแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ก็เป็นเพียงโลกิยอภิญญา ยังอยู่ในวิสัยแห่งปุถุชน ไม่อาจนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้ และท่านยังได้แสดงจุดยืนในหลักแห่งพุทธธรรม เพื่อให้มนุษย์ได้รับโอกาสในการฝึกฝนพัฒนาตนที่สูงขึ้น โดยอาศัยความสัมพันธ์กันระหว่างศาสตร์ทั้งสองเป็นจุดนัดพบ เพื่อชักนำมวลมนุษย์เข้าสู่พุทธศาสตร์ โดยท่านได้แนะวิธีการไว้ว่า

ดวงดีดอทคอม เวปใหม่